สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑)
การเมืองการปกครอง
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมีพระประสงค์ที่จะดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางหรือราชธานี จึงลดบทบาทของเจ้านายลงและเพิ่มอำนาจให้ขุนนาง เพื่อป้องกันการแย่งชิงอำนาจจากเชื้อพระวงศ์ เช่น
- การแบ่งงานฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนออกจากกันอย่างชัดเจน ให้สมุหพระกลาโหมดูแลฝ่ายทหาร และให้สมุหนายกดูแลฝ่ายพลเรือน รวมทั้งจตุสดมภ์ในราชธานี
- การปกครองในส่วนภูมิภาค ได้ยกเลิกระบบการปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ลดฐานะเมืองลูกหลวง เมืองหลานหลวงลงเป็นเมืองชั้นจัตวาและส่งขุนนางไปปกครองแทนเจ้านาย
- สำหรับการปกครองส่วนท้องถิ่น ให้จัดเป็นหมู่บ้าน มีผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแล ตำบล มีกำนันเป็นหัวหน้า แขวง มีหมื่นแขวงเป็นหัวหน้า
- มีการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการ ให้มี บรรดาศักดิ์ตามลำดับ จากต่ำสุดไปสูงสุด
คือ ทนาย พัน หมื่น ขุน ยาหลวง พระ และ เจ้าพระยา มีการกำหนดศักดินา
เพื่อ เป็นค่าตอบแทนการรับราชการ และได้อาศัยใช้เป็นเกณฑ์
กำหนดการมีที่นาและการปรับไหมตามกฎหมาย
เศรษฐกิจ
สินค้าในอาณาจักรอยุธยามีที่มา ๒ ทาง คือ
๑. สินค้นภายใน
๒. สินค้าภายนอก
สภาพสังคม
โครงสร้างชนชั้นของคนในสังคมยังคงแบ่งเป็น ๕ กลุ่ม นั่นคือ พระมหากษัตริย์ มูลนายหรือ เจ้านาย ได้แก่ พระสงฆ์ ทาสและข้า แต่ได้มีดารจัดระบบไพร่ควบคุมกำลังคนผ่านระบบกรมกองกล่าวคือ ทุกกรมกองจะเป็นหน่วยที่ ทำหน้าที่ควบคุมกำลังคนและมีโครงสร้างคล้ายคลึงกัน ประกอบด้วยข้าราชการอย่างน้อย ๓ ตำแหน่ง ได้แก่
๑. เจ้ากรม เป็นหัวหน้าสูงสุดของกรมอื่น ๆ
๒. ปลัดกรม เป็นผู้ช่วยเจ้ากรม
๓. สมุห์บัญชี ทำหน้าที่รักษาบัญชีไพร่พลที่ขึ้นสังกัดต่อกรม
ผลจากการปฏิรูป
ทำให้อยุธยาเป็นราชอาณาจักรที่มีระเบียบแบบแผน อำนาจการปกครองถูกรวมมาไว้ที่องค์ พระมหากษัตริย์ ซึ่งประทับอยู่ที่เมืองหลวง คือ พระนครศรีอยุธยา เป็นรูปแบบที่เรียกว่า "สมบรูณาญาสิทธิราชย์" สมบรูณ์แบบที่สุดในระบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ถึงการเสียกรุงครั้งที่ ๑ (พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๑๑๒)
๑. สภาพเหตุการณ์หลังปฏิรูปการปกครอง
๑) การเมืองการปกครอง
หลังรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การเมืองของอยุธยาดูจะสงบและปราศจากการแย่งชิงอำนาจอยู่ระยะหนึ่ง พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาทุกฉบับกล่าวตรงกันว่า ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เป็นยุคที่มีความเจริญและปราศจากการทำสงครามทั้งภายในและภายนอก เป็นยุคที่มีการสร้างระเบียบแบบแผนภายในอาณาจักรหลายอย่าง เช่น การทำตำราพิชัยสงคราม เป็นต้น นอกจากนี้ยังทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่กำหนดให้มีพิธีการฉลองวันการละเล่น ขึ้นในประเทศ ซึ่งในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททองก็ได้ทรงฟื้นฟูเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง
นอกจากนี้ ยังเป็นสมัยที่โปรตุเกสซึ่งเป็นชาวตะวันตกชาติแรก ที่เข้ามาใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้ามาขอเจริญสัมพันธ์ไมตรีทางการทูตจองไทยอีกด้วย
๒) สังคมและเศรษฐกิจ
การเข้ามาของโปรตุเกส มีความสำคัญ คือ
- ทำให้การค้าของอยุธยาทางฝั่งตะวันตกเพิ่มความสำคัญมากขึ้น
- การมีอาวุธแบบสมัยใหม่ ได้แก่ ปืนและกระสุนสินค้าโดยพวกโปรตุเกสได้นำมาถวาย และในภายหลังยังเข้ามาเป็นทหารอาสาและช่วยฝึกวิธีใช้อาวุธแบบตะวันตกอีกด้วย
๒. สมัยพระรัษฎาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗)
พระรัษฎาธิราชเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ ตามพงศาวดารระบุว่าทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุได้ ๕ พรรษา หลังปกครองบ้านเมืองได้เพียง ๕ เดือน ก็ถูกพระไชยราชา ซึ่งเป็นพระญาติห่าง ๆ ลอบปลงพระชนม์ หลังจากนั้นเป็นต้นมาการแย่งชิงราชสมบัติก็เกิดขึ้นเกือบทุกรัชกาล
๓. สมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙)
สมัยนี้ถือได้ว่าอยุธยาประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจไปทางเหนือ แต่ก็ประสบปัญหาในเมื่อ ท้าวศรีสุดาจันทร์ได้วางแผนปลงพระชนม์พระองค์และให้ขุนชินราช (ขุนวรวงศา) ขึ้นเป็นกษัตริย์
๔. สมัยขุนวรวงศา (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๐๙๑)
พระราชพงศาวดารกรุงเก่ากล่าวว่า ขุนวรวงศาปกครองอยู่เพียง ๔๒ วัน ก็ถูกพระเทียรราชากับขุนนางร่วมกันวางแผนปลงพระชนม์ แล้วขึ้นครองราชสมบัติแทน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
๕. สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑)
สมัยนี้ปัญหาใหญ่สำคัญในรัชกาลนี้ คือ การเผชิญกับกษัตริย์พม่าในสมัยราชวงศ์ตองอู การขยายอำนาจของพม่าเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ แห่งราชวงศ์ตองอู สามารถผนวกรัฐล้านนา และมอญเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่าได้สำเร็จ และขยายเมืองหลวงมายังหงสาวดี ทำให้อาณาเขตพม่าอยู่ติดกับอาณาจักรอยุธยา และเป้าหมายของพม่าอยู่ที่เมืองท่าตะนาวศรี มะริด และทวาย
แม้ว่าในที่สุดพม่าจะยึดอยุธยา ได้สำเร็จแต่ประวัติศาสตร์ชาติไทย ต้องจารึกไว้ว่ามีวีรกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระสุริโยทัย พระมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรรดิ ได้ทรงพลีพระชนม์เพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้

สภาพสังคมและเศรษฐกิจหลังการเสียกรุงครั้งที่ ๑
๑. เป็นระยะที่ราชอาณาจักรอยุธยาต้องประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น การสูญเสียกำลังคน เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งภายในราชสำนักก่อนการเสียกรุง นอกจากนี้การทำศึกสงครามกับ พม่าอย่างต่อเนื่องเป็นผลทำให้เขมรถือโอกาสยกทัพเข้ามาตามชายแดนและกวาดต้อนผู้คนไป
๒. ปัญหาเศรษฐกิจ การทำสงครามยืดเยื้อกับพม่าทำให้ละเลยเรื่องการเพาะปลูก ซึ่งเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
๓. ปัญหาภัยธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าในช่วง พ.ศ. ๒๑๑๔-๒๑๑๖ กรุงศรีอยุธยา ต้องประสบกับปัญหาความแห้งแล้ง พ.ศ. ๒๑๑๗ ต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วม และใน พ.ศ. ๒๑๓๒ ราคาข้าวแพงขึ้น

 |